วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

บ่น

กิริยาอย่างหนึ่งที่เป็นกิริยาที่สามัญที่สุดของมนุษย์ บางทีก็เป็นเราเองที่บ่น ซึ่งเราไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายหรือรำคาญใจ(ใจขณะบ่นก็เบื่อหน่ายนิดๆ แต่ไม่เท่าฟังใครบ่น) แต่เมื่อใดก็ตามที่ใครบ่น ความเบื่อหน่ายและรำคาญใจก็เกิดขึ้น

ผมคิดถึงตัวเอง นึกถึงตอนที่ตัวเองบ่น ทำไมช่างติถึงเพียงนี้ เดี๋ยวก็ เลี้ยวก็ไม่รู้จักเปิดไฟเลี้ยว ครูก็เอาแต่บ่นอยู่หนะแหละสอนหน่อย(ว่าเค้าบ่นแต่ตัวก็บ่น- - ) มาลองคิดดู ถ้าใจเฉยๆ ไม่บ่น ความเบื่อหน่ายโลกและรำคาญใครก็แย่อะไรก็ไม่ดีก็จะไม่เกิดขึ้น

ผมคิดๆดู ถ้าผมขับรถตามคนอื่น เค้าเลี้ยวไม่เปิดไฟเลี้ยว คิดอีกมุม ว่า "อื้่ม... เราขับรถระมัดระวังดีนะ เว้นระยะระหว่างช่วงรถได้ดี ขับรถไม่ใจร้อนจี้ตูดเค้า นั่นเองถึงแม้ว่าเค้าจะไม่เปิดไฟเลี้ยว เราก็ไม่ชนแล้วก็ขับได้ต่อไป"

ผมคิดๆดู ถ้าผมนั่งเรียนในห้อง ครูบ่นนั่นบ่นนี่ สัมเพเหระไม่ยอมหยุด คิดอีกมุม ว่า "ลองคิดดูเมื่อเราทำอะไรสักอย่าง อย่างเช่นครูเป็นครูสอนแล้วบ่นว่านักเรียนไม่ดีไม่ตั้งใจเรียนไม่ใส่ใจ เรามัวแต่บ่นแบบครู
มันก็แค่โทษคนอื่นโทษนั่นโทษนี่ คิดดูสิ มันเหมือนรำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง นักเรียนไม่ใส่ใจอาจจะยากต่อการสอนจริง แต่หากครูเก่งจริงๆ ก็สามารถดึงความสนใจจากนักเรียนให้สนใจได้ ต้องมาลองมองย้อนที่ตัวเองว่า เราเต็มที่ยัง เตรียมการสอนดีไม๊ ไม่ไช่ว่าสอนไป เหมือนกับกำลังเรียนไปกับนักเรียน มากกว่า เป็นคนที่เรียนมาแล้วรู้ลึกพร้อมสอน ทั้งยัง ทำให้นึกถึงสุภาษิตแรงๆอีกประโยคว่า คนดีชอบแก้ไข คนจังไรชอบแก้ตัว ถ้าไม่อยากจังไร เราต้องไม่บ่นแบบครู ต้องรู้จักแก้ไข นี่สิเค้าเรียกว่าเห็นผิดเป็นครู ถึงแม้ครูจะไม่ดี แต่ก็ยังให้คุณแก่เรา ทำให้เราได้รู้ว่า ออ... ถ้าเราขี้บ่นเราก็จะเป็นคนอย่างนี้นะ เรียนรู้ เราต้องมีสติ แล้วอย่าเอาอย่างครู"

ผมก็แค่คนนึงที่ชอบบ่น(ทั้งที่ไม่ชอบกิริยานี้) และไม่ชอบฟังใครบ่น มันจึงเหตุที่ทำให้ผมคิดเขียนเกี่ยวกับเรื่องบ่น เป็นบทความนี้ เพื่อที่จะระบายความรู้สึกไม่ชอบมันได้ แล้วอยู่ดีๆ ผมก็พบทางออกในการหยุดตัวเองบ่น คิดบวกไว้ ใครบ่นก็เบื่อไม่รำคาญ เอ้อ คิดบวกมันทรงคุณ ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่อ่านจนถึงบรรทัดสุดท้าย เพียงเพราะผมอยากระบายให้คุณฟัง จึงทำให้ผมได้คำตอบแก่ตัวเอง ขอบคุณมากครับ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น